วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2559

ตัวอย่าง 2

บัญญัต 10 ประการ อยากรวยต้องรู้




บัญญัติ 10 ประการ “อยากรวย ต้องรู้“

บทความนี้ เป็นบทความที่น่าสนใจสำหรับ บุคคลทั่วไปที่ต้องการวางแผนทางการเงิน และการเตรียมพร้อมสำหรับการเป็นนักลงทุนที่ดี นั้น ควรที่จะต้องเรียนรู้อะไรบ้าง

1. "ความรู้ทางการเงิน" สำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่า "ความรู้ทางการงาน" เพราะในชีวิตของคนเราทุกคนนั้น จะมีช่วงที่จะสามารถหา "รายได้จากการทำงาน" (you at work) จำกัด และจะต้องมีชีวิตหลังเกษียณค่อนข้างยาวนาน จึงต้องรู้วิธีที่จะ "ใช้เงินให้ทำงาน" (money at work)

2. การออมเป็น "เกมแห่งระยะเวลา" (game of time) ใครเริ่มต้นก่อน ก็รวยก่อน เพราะยิ่งทิ้งไว้นาน ยิ่งได้เป็นกอบเป็นกำ ถือเป็น "เงื่อนไขจำเป็น" ของทุกคนที่มีเป้าหมายต้องการบรรลุสู่อิสรภาพทางการเงิน

3. การลงทุนเป็น "เกมแห่งจังหวะเวลา" (game of timing) ต้องรู้จังหวะในการเข้าออกจากตลาดที่เหมาะสม ซื้อเมื่อต่ำ ขายเมื่อสูง หยุดเมื่อสงสัย เพราะถ้าหากเข้าผิดจังหวะ ยิ่งทิ้งไว้นาน จะยิ่งเสียหายมาก และทำให้โอกาสที่จะได้ทุนคืนยากขึ้นเรื่อยๆ (losses are harder to regain)

4. การตัดสินใจเกี่ยวกับการลงทุนไม่ใช่การตัดสินใจซื้อสินค้าสำเร็จรูป (product) แบบที่ตัดสินใจตอนซื้อครั้งเดียวจบ ถ้าไม่ได้ผล หรือใช้แล้วไม่พอใจ ก็ทิ้งมันไว้เฉยๆ จริงๆ แล้วการลงทุนเป็นกระบวนการ (process) ที่ต้องมีการเอาใจใส่ ติดตามผล และปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ตลอดเวลา
5. หนทางไปสู่ความสำเร็จไม่ได้มีเพียงเส้นทางเดียว จุดสำคัญในการบริหารการลงทุนนั้นไม่ได้อยู่ที่รูปแบบ วิธีการ หรือสไตล์ ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นเพียง "เกมภายนอก" (outer game) แต่เป็นเรื่องของทัศนคติ วิธีคิด พลังใจ ซึ่งเป็น "เกมภายใน" (inner game)

6. ลำพังแค่การ "เอาชนะดัชนี" (beat the index) ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ไม่มีใคร "เอาชนะตลาด" (beat the market) ได้ เคล็ด (ไม่) ลับในการจะยืนหยัดอยู่ในเกมการลงทุนอย่างตลอดรอดฝั่งในฐานะ "ผู้ชนะ" นั้น อยู่ที่การยืนอยู่ข้างเดียวกับตลาดไม่ใช่ฝืนตลาด

7. ความสำเร็จในการลงทุนไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน จริงๆ แล้วมันอาจเปรียบได้กับการวิ่งแข่งระยะไกล (marathon) ไม่ใช่การวิ่งแข่ง 100 เมตร (sprint) ดังนั้น คุณจะต้อง "รู้จักตัวเอง" (know yourself) ว่าอะไรคือสไตล์การลงทุนที่เหมาะสมที่เข้ากันได้กับความสามารถในการรับความเสี่ยง (risk attitude) และทักษะในการลงทุน (risk aptitude) เพราะนั่นคือ "ระบบ" ที่คุณต้องใช้ในเพื่อ "ทำธุรกิจ" นี้ในระยะยาว

8. ในการใช้เงินต่อเงินนั้น คุณต้อง "รู้จักเครื่องมือ" (know the vehicle) ว่ามีลักษณะและรูปแบบการให้ผลตอบแทนอย่างไร มีข้อดี ข้อเสีย และข้อจำกัดอะไรบ้าง

9. นอกจากนี้ คุณต้อง "รู้จักตลาด" (know the market) คือ รู้ว่าตลาดการเงินมีธรรมชาติเป็นอย่างไร อะไรคือสาเหตุเบื้องหลังที่ทำให้เกิดการกระเพื่อมขึ้นลงของตลาด และรู้วิธีการในการบริหารความเสี่ยงในการลงทุนว่าต้องแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไร

10. อย่าติดอยู่ในกับดักของ "การบริโภคข้อมูลเกินขนาด" (information overload) ซึ่งมัวแต่สนใจหาข้อมูล ศึกษา วิเคราะห์ จนไม่กล้าลงมือปฏิบัติ (analysis paralysis) เพราะมีความเชื่ออย่างผิดๆ แบบพวกมองโลกสมบูรณ์แบบ (perfectionist) ว่าถ้ามีข้อมูลที่สมบูรณ์จะไม่เกิดความผิดพลาด (zero-defect mentality) จริงๆ แล้ว หัวใจสำคัญของการบริหารการลงทุนนั้นอยู่ที่การ "จำกัดความเสี่ยง" (risk limitation) ไม่ใช่ "กำจัดความเสี่ยง" (risk elimination) ถ้าถามว่ากฎที่สำคัญที่สุดที่สรุปได้จากการปฏิบัติ (rule of thumb) ของผู้เขียนหนังสือชุด "อยากรวย ต้องรู้" คืออะไร ก็อยากตอบว่า rule of "ทำ" นั่นคือ "รู้แล้วต้องลงมือทำ" เพราะในภาษาอังกฤษ คำว่า "โชคลาภ" (luck) เป็นตัวย่อของ Laboring Under Correct Knowledge แปลว่า "ลงมือทำ ด้วยความพากเพียร โดยอาศัยความรู้ที่ถูกต้อง
     

ตัวอย่างภาษี1



การคำนวณอย่างง่ายและย่อๆ





แต่ถ้าคุณซื้อประกันเพิ่ม เงินคืนภาษีก็จะเพิ่มเป็น
21,000 บาทเศษ ครับ

                       ของคุณ miggi ทำงานปีเดียวมีรายได้ 1,200,000 บาทเศษถือว่าเป็นตัวอย่างกับรุ่นน้อง
ภาษี 100,000 บาทเศษ ถือว่า OK



คุณณัฏฐวี ฯ บริหารภาษีมีเงินคืน 9,000 บาทเศษ


คุณชรินทร์ทิพย์ บริหารภาษีมีเงินคืน 50,000 บาทเศษ

ต่อไป ดูใบสรุปรายได้ ม.50 ทวิ ของ อ.ประไพ สาคร อาชีพครู และเป็นตัวแทน 
off the year อันดับ 1 จำนวนราย
มีรายได้จาก ราชการและตกเบิก 590,000 บาท และ รายได้จาก AIA 2,400,000 บาท
รวม 2,990,000 บาท แยกคำนวณจากสามี  ภาษี 730,000 บาทเศษ หักไว้แล้ว
500,000 บาทเศษ เสียเพิ่ม 200,000 บาทเศษ มึนตึ๊บ  


ความเสียหายที่ลืมบริหารภาษียังไม่จบสิ้น เพราะเงินได้ที่ถึง 1,800,000 บาท
ตั้งแต่กลางปี ต้องไปจด vat หรือภาษีมูลค่าเพิ่ม ตั้งแต่ส่วนที่เกินล้านแปด
ต้องเสีย 7% พร้อมค่าปรับย้อนหลังอีก  200,000 บาทเศษ 
ดังนั้น การลืมบริหารภาษี ทำให้เงินสูญหายไปจำนวนมากเป็นล้าน ถึงกับ ไมเกรนขึ้นเลยครับ

คราวนี้ก็มาดูฐานภาษีใหม่ ปี56ที่จะเริ่มเสีย 1มค57


จะเห็นได้ว่า จากฐาน 10% ถูกแบ่งออกไปอีก มี 5% ด้วย ทำให้คนที่เงินได้สุทธิ
ต่ำกกว่า 300,000 บาท เสียเพียง 5% คิดเป็นเงิน 7,500 บาท  จากเดิมน่าจะ 15,000
และฐาน 20% ถูกแบ่งให้เสียภาษีน้องลงเช่นกัน เป็นเพิ่มฐาน 15% เป็นเงิน 37,500 บาท
จากเดิมน่าจะเสีย 50,000 บาท
ปีนี้เราก็มาลองคำนวณเปรียบเทียบ



     

ตัวอย่างภาษี

มาคำนวนภาษีปีนี้กัน



สรรพากรแจง​ยิบ ห่วงยื่​นแบบเสียภาษี สามี-ภริยา​ผิดพลาด



สรรพากรแจง​ยิบห่วงยื่​นแบบฯ สามี-ภริยา​ผิดพลาด เกรงนำรายได้​ตลอดทั้งปี​มายื่นคำนว​ณเสียภาษีไม่​ครบถ้วน
           ปีภาษี 2555 เป็นปีแรกที่กรมสรรพากรกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดเก็บภาษีเงินได้จากสามีและภริยา ให้ต่างฝ่ายต่างมีหน้าที่ยื่นรายการและเสียภาษี  ต่างมีหน้าที่ยื่นรายการและเสียภาษีต่างหากจากกัน และแบ่งเงินได้พึงประเมินที่สามีและภริยาทำร่วมกัน หรือสามีและภริยาจะตกลงเลือกยื่นรายการและเสียภาษีรวมกันก็ได้

          กรณีเงินได้พึงประเมินที่ไม่อาจแยกได้อย่างชัดแจ้งว่าเป็นของสามีหรือภริยาฝ่ายละจำนวนเท่าใดตามมาตรา 40(2) - 40(8) ให้แบ่งสัดส่วนคนละ 50% ของเงินได้ประเภทนั้น เฉพาะเงินได้ตามมาตรา 40 (8) จากการขายสินค้า การพาณิชย์ การขนส่ง ฯลฯ ให้สามีภรรยาเลือกแบ่งเป็นของแต่ละฝ่ายตามส่วนที่ตกลงกันก็ได้ แต่รวมกันต้องไม่น้อยกว่าเงินได้พึงประเมินที่ได้รับ ถ้าตกลงกันไม่ได้ให้แบ่งกันฝ่ายละกึ่ง ส่วนสิทธิประโยชน์ที่สามีภริยาได้รับเพิ่ม กรณีการหักค่าลดหย่อน มี 3 รายการ คือ ค่าลดหย่อนบุตรได้คนละ  15,000 บาท ค่าลดหย่อนการศึกษาบุตรได้คนละ  2,000 บาท และค่าลดหย่อนดอกเบี้ยกู้ยืมซื้อที่อยู่อาศัย สามีและภริยาต่างฝ่ายต่างกู้ยืม    มีเงินได้ทั้ง 2 ฝ่าย ต่างฝ่ายหักได้คนละ 100,000 บาท

          นางจิตรมณี  สุวรรณพูล ที่ปรึกษาด้านพัฒนาฐานภาษีในฐานะโฆษกกรมสรรพากร กล่าวว่า   ขณะนี้ถึงกำหนดเวลาของการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี ภ.ง.ด.90 และ ภ.ง.ด.91 สำหรับปีภาษี 2555 สามารถยื่นแบบกระดาษได้ตั้งแต่บัดนี้ จนถึงวันจันทร์ที่ 1 เมษายน 2556 ส่วนการยื่นแบบฯ ทางอินเทอร์เน็ตสามารถยื่นแบบฯ ได้ถึงวันอังคารที่ 9 เมษายน 2556 ทั้งนี้ กรมสรรพากรขอเชิญชวนให้ผู้เสียภาษียื่นแบบฯ ทางอินเทอร์เน็ตเป็นบริการที่สะดวก รวดเร็ว ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงไม่มีวันหยุด และเพิ่มช่องทางการชำระภาษีด้วยบัตรเครดิตของธนาคารที่ร่วมโครงการ ซึ่งผู้เสียภาษีจะได้รับสิทธิขยายเวลาการจ่ายเงินสดออกไปอีก 45 - 51 วัน เป็นการเสริมสภาพคล่องเงินสดและช่วยการวางแผนการใช้จ่ายได้อีกทางหนึ่งด้วย


“ในการกรอกแบบ ภ.ง.ด.90 และ ภ.ง.ด.91 พบข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นเป็นประจำ คือ การนำรายได้ตลอดทั้งปีมายื่นคำนวณเสียภาษีไม่ครบถ้วนทั้งจำนวนที่ได้รับมาจริง ซึ่งกรมฯ สามารถตรวจสอบได้จากการหักภาษี ณ ที่จ่ายของผู้จ่ายเงินได้ ผู้เสียภาษีจึงควรเก็บหลักฐานหนังสือรับรอง      การหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้  ส่วนการหักค่าลดหย่อนอุปการะเลี้ยงดู บิดา-มารดา โดยเฉพาะบิดามารดาที่มีบุตรหลายคน กรมฯ ให้สิทธิแก่บุตรเพียงคนเดียว ซึ่งข้อผิดพลาดเหล่านี้อาจทำให้ผู้เสียภาษีถูกเรียกเก็บเงินเพิ่มอีกร้อยละ 1.5 ต่อเดือนได้  เนื่องจากการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นการให้สิทธิผู้เสียภาษีประเมินรายได้ที่จะต้องนำส่งเงินภาษีให้แก่รัฐด้วยตนเอง”โฆษกกรมสรรพากรกล่าว



กรมสรรพากรผ่อนปรนให้ใช้เลขประจำตัว
ผู้เสียภาษีอากร 10 หลัก ได้ถึงวันที่ 31 ก.ค.56

updated: 01 ก.พ. 2556 เวลา 10:30:02 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ตามที่กรมสรรพากรได้กำหนดให้ใช้เลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร 13 หลัก แทนเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร 10 หลัก และขยายเวลาให้ใช้เลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร 10 หลัก จนถึงวันที่ 31 มกราคม 2556 นั้น
      เนื่องจากมีผู้ประกอบการจดทะเบียนจำนวนมากแจ้งว่า มีเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการใช้เลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร 10 หลัก เหลืออยู่เป็นจำนวนมาก ดังนั้น เพื่อเป็นการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายและช่วยเหลือผู้ประกอบการ จึงขยายระยะเวลาการใช้เลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร 10 หลัก จนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2556 ทั้งนี้ กรมสรรพากรจะมีประกาศกำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการปฏิบัติแจ้งให้ทราบต่อไป



                                       
                          ฐานภาษีที่ใช้ถึงปีภาษี 55

          
มาดูตัวตัวอย่างการคำนวณแบบย่อแต่ตรงครับ
   นส.A เงินเดือน 20,000 บาท โสด เฉยๆ ไม่มีประกันสังคม ไม่มีประกันชีวิต ไม่มีบิดามารดาอายุ>60 ไม่มีดอกเบี้ยบ้าน ไม่มีสามี ไม่มีบุตร ไม่มี กสช.ไม่โดนหักภาษี ณ ที่จ่าย ไม่ได้บริจาควัด
      คำนวณ    เงินได้พึงประเมิน 240,000 บาท
      1. หักค่าใช้จ่าย 40%ไม่เกิน 60,000 บาท = 60,000 เหลือ 180,000 บาท
      2.หักค่าลดหย่อน 2.1 ส่วนตัว 30,000 คู่สมรส 30,000 = 30,000 เหลือ 150,000 บาท
                       2.2 ค่าลดหย่อนบุตร ประกันสังคม กบข ประกันชีวิต ประกันบำนาญ ดอกเบี้ยเช่าซื้อ ประกันสุขภาพบิดามารดา rmf ltf กสช บริจาค
      3. เข้าสูตร 0-500,000 เสีย 10% แต่ ครม.มีมติแยกคนที่รายได้ 0-150,000 ไม่ต้องเสียภาษีถ้าเสียไปแล้วหรือหัก ณ ที่จ่ายไว้แล้วก็ขอคืนได้ ถ้ามีเงินได้สุทธิเกินนั้นถึงจะเสีย = 150,000-150,000 = 0 บาท
       สรุป ภาษี = 0 บาท คือไม่ได้เสียภาษี นั่นเอง ถ้ามีค่าลดหย่อนมาเพิ่มอีกยิ่งไม่ได้เสีย แต่กลับจะได้คืนกรณีหักไว้ระหว่างปีครับ
           ฟันธง เงินเดือน 20,000 บาท ไม่ได้เสียภาษี
                                   
                              มาดูฐานภาษีใหม่กันครับ

ภาษีใหม่ ช่วยเอื้อประโยชน์มนุษย์เงินเดือน รับเต็มๆส่วนลดมากถึง 50% คำนวณฐานภาษีใหม่ แบ่งย่อยขั้นภาษีเพิ่มขึ้น

นับว่าเป็นโอกาสที่ดี ของประชาชนผู้เสียภาษี จากกรณีที่ นายแพทย์ทศพร เสรีรักษ์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมครม. เมื่อวันที่ 18 ธ.ค.ว่า ที่ประชุมเห็นชอบให้ปรับโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยให้ลดอัตราการจัดเก็บภาษีจากเดิมที่กำหนดไว้สูงสุดที่ 37% เป็น 35% พร้อมทั้งปรับปรุงการจัดเก็บภาษีเงินได้จากสามีและภริยา ให้สามารถยื่นรายการและเสียภาษีรวมกันหรือแยกต่างหากจากคู่สมรสได้ ขณะเดียวกันได้เห็นชอบให้ปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ โดยให้คิดตามอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และยังเห็นชอบขยายเวลาปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลต่อไปอีก 1 เดือนถึง 31 ม.ค.56 เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน
ซึ่งการดำเนินการทั้งหมด โดยเฉพาะการปรับโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และปรับการจัดเก็บภาษีเงินได้จากสามีและภริยา ส่งผลให้รัฐสูญเสียรายได้จากการจัดเก็บภาษีในปี 56 ถึง 3.2 หมื่นล้านบาท ส่วนปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ ทำให้ภายในปี 59 รัฐจะมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตเพิ่มขึ้น 25,639 ล้านบาท ขณะที่การปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลทำให้รัฐสูญเสียรายได้จากการจัด เก็บภาษีสรรพสามิต 9,000 ล้านบาทต่อเดือน

ทั้งนี้ ตามข้อมูลการคิดภาษีใหม่ กรมสรรพากร ก็ได้เสนอให้ปรับอัตราการเก็บภาษีบุคคลธรรมดาใหม่ หลังหักรายจ่ายและค่าลดหย่อนแล้ว โดยให้มีช่วงความถี่มากขึ้น แยกเป็นขั้นๆ ดังนี้
           ขั้นที่ 1 รายได้ 0-150,000 บาท ได้รับการยกเว้นภาษีตามเดิม
     ขั้นที่ 2 รายได้ 150,001-300,000 บาท จากเดิมเสียภาษี 10% ปรับใหม่เป็นเสียภาษี 5%
           ขั้นที่ 3 รายได้ 300,001-500,000 บาท เสียภาษี 10% ตามเดิม
      ขั้นที่ 4 รายได้ 500,001-750,000 บาท จากเดิมเสียภาษี 20% ปรับใหม่เป็นเสียภาษี 15%
           ขั้นที่ 5 รายได้ 750,001-1,000,000 บาท เสียภาษี 20% ตามเดิม
           ขั้นที่ 6 รายได้ 1,000,001-2,000,000 บาท จากเดิมเสียภาษี 30% ปรับใหม่เป็น 25%
           ขั้นที่ 7 รายได้ 2,000,001-4,000,000 บาท เสียภาษี 30% ตามเดิม
           ส่วน รายได้ตั้งแต่ 4,000,000 บาท จากเดิมเสียภาษี 37% ปรับใหม่เป็นเสียภาษี 35%

ทั้งนี้ การคำนวณภาษี จะแบ่งคำนวณเป็นขั้นบันได้ แล้วบวกทบกันไป เช่น มีรายได้ 1 ล้านบาทต่อปี
เริ่มจาก 150,000 บาทแรก ไม่ต้องเสีย
มาเริ่มขั้นที่ 2 150,000 – 300,000 บาท จากเดิม 10% เป็นเงิน 15,000 บาท แบบใหม่ เสีย 5% เท่ากับ 7,500 บาท
บวกด้วยส่วนต่างในขั้น 300,000 – 500,000 บาท จำนวนเงิน 200,000 บาท ก็เสียในอัตรา 10% เท่ากับ 20,000 บาท
ตามด้วยขั้นที่ 4 รายได้ 500,001-750,000 บาท จากส่วนต่าง 250,000 บาท เดิมเสียภาษี 20% ปรับใหม่เป็นเสียภาษี 15% เป็นเงิน 37,500 บาท
สุดท้ายคิดขั้นที่ 5 รายได้ 750,001-1,000,000 บาท เสียภาษี 20% ตามเดิม เป็นเงินอีก 50,000 บาท

รวมการเสียรูปแบบใหม่ เป็นเงิน 115,000 บาท สำหรับผู้ที่มีรายได้ 1 ล้านบาทต่อปี หรือมีเงินเดือนประมาณ 83,000 บาท ขณะที่ หากคิดภาษีแบบเดิมที่รายได้ 1 ล้านบาทต่อปี จะต้องเสียภาษี อยู่ที่ 135,000 บาท เท่ากับว่าฐานภาษีลดลงไป 20,000 บาท

แต่หากมีรายได้ประมาณ  240,000 บาทต่อปี หรือ 20,000 บาทต่อเดือน จากเดิมฐานภาษีจะตกปีละ 9,000 บาท แต่ในฐานภาษีระบบใหม่ จะเหลือเพียง 4,500 บาท เท่ากับว่า ประหยัดไปได้ถึง 50% คิดเป็นเม็ดเงินก็ถึง 4,500 บาท

ทั้งนี้ การคำนวณภาษีดังกล่าว ยังไม่รวมการหักลดหย่อนต่าง ไม่ว่าจะเป็น ประกันชีวิต ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน LTF/RMF ลดหย่อนบุตร บุพการี ประกันสังคม และสิทธลดหย่อนอื่น เป็นต้น

การปรับโครงสร้างอัตราภาษีใหม่นี้ จะช่วยแบ่งเบาภาระให้ผู้เสียภาษี และสร้างความเป็นธรรมให้มากขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่มีรายได้ไม่เกิน 1 ล้านบาท แม้ว่าจะทำให้กรมสรรพากรสูญเสียรายได้จากการจัดเก็บภาษีถึงปีละ 2.7 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตาม เรื่องดังกล่าวต้องมีการเสนอแก้ไขกฎหมายประมวลรัษฎากรของกรมสรรพากรไปยังสภาผู้แทนราษฎรเสียก่อน จึงจะสามารถทำได้ ซึ่งต้องใช้เวลาดำเนินการนาน โดยคาดว่าในปีภาษี 2556 ที่จะยื่นเสียภาษีในปี 2557 ถึงจะได้ใช้ฐานภาษีรูปแบบใหม่  


     

ตัวอย่าง 1



          จากบทที่ เราได้เรียนรู้ว่า ขั้นตอนการขายประกันชีวิต
เขาทำกันอย่างไร มันเข้มข้นมากใช่ไหมครับ มีทั้งการใช้พลังจิตที่เรียกว่า จินตภาพ การตัดสินใจซื้อด้วยอารมณ์เพื่อเติมเต็ม การกระตุ้นอารมณ์ในด้านลบ หรือความกลัวจะได้ผลดี และ ช็อตทำเงิน ครบเครื่อง ถ้าใครยังไม่ได้อ่าน รีบกลับไปอ่านซ้ำเลยนะครับ แล้วลองออกไปทำดู ลืมจุดไหนก็กลับมาดูจุดนั้น ขายทุกวัน วันละ 3-5 ราย ความชำนาญจะเกิดขึ้น คุณไม่ต้องเก่ง แต่ขอให้ขยัน นั่นคือแนวทาง ถ้าคุณไม่ขยัน อย่าไปเรียกร้องหาความสำเร็จในอาชีพนี้ ครับ ฟันธง        

     พอเปิดโอกาสให้ถาม ก็มีน้องผู้หญิงขายแอมเวย์ กับชูเลียน โทรมาถาม ประกันไม่มีโทรมาเลย แอมเวย์ถามว่า เครื่องกรองน้ำปิดยังไงแล้วจินตภาพยังไง ตอบว่าคุณต้องจินตภาพกระตุ้นอารมณ์ทางลบไงครับ ตามที่คุณ present เช่น ถ้าคุณไม่ซื้อเครื่องกรองน้ำของฉันแล้วไปกินน้ำอื่นที่ไม่สะอาด คุณภาพชีวิตก็แย่ คุณจะสะสมสารเคมีที่มองไม่เห็นจำนวนมากๆนานๆไปก็ป่วยสารพัดโรค คุณต้องดื่มน้ำแอมเวย์เท่านั้น คุณต้องซื้อวันนี้และต้องเซ็นเปิดบิลรับของเดี๋ยวนี้ แล้วคำพูดจะตามมาเองว่า ติดตรงไหนดีคะพี่ พี่คะช่วยเซ็นรับของตรงนี้ด้วยค่ะ อย่างนี้เป็นต้น ส่วนยาสีฟันชูเลียนก็เหมือนกันครับ

           และปีนี้พิเศษสุด บริษัท AIA เปิดให้ตัวแทนมีระดับ สามารถซื้อหุ้น AIA ที่ตลาดหุ้นฮ่องกง ซึ่งเป็นหุ้นที่ดีที่สุดตั้งแต่เปิด Deal ตลาดหลักทรัพย์ที่ฮ่องกง โดยซื้อ แถม หุ้น เปิดโอกาสให้ตัวแทนเป็นเจ้าของบริษัท เป็นผู้ถือหุ้นโดยตรง ของผมก็ได้รับสิทธิซื้อเดือนละ 15,000 บาท ท่านใดสนใจเข้ามาเป็นเจ้าของ AIAหุ้นที่ทำกำไรดีที่สุด ก็เชิญเลยครับ
                 และบทที่ 5 นี้ท่านจะได้เรียนรู้ สาเหตุต่างๆ 
               ที่ทำการขายแล้วไม่สำเร็จ หรือที่เรียกว่า ไม่ไปหน้ามาหลัง     
อะไร คนใกล้ชิดก็แอบมองอยู่ ทำมาตั้งนานทำไมไม่เห็นเงิน มีแต่ลงทุน ลงแรงหนักขึ้น แต่เงินมันไม่งอกเงยขึ้นมาเลย ลาออกราชการหรืองานเดิมมาก็หลายปี ขยันก็ขยัน ยังอยู่ได้แค่ใจ ทำไม ทำไม
 กดดัน กดดัน กดแล้วก็ดัน

                 เอาหลักง่ายๆ ก่อน

              เหตุที่ทำไมไม่ซื้อ ขายไม่ดี ชวนไม่ได้ ยอดไม่เกิด

   1. เขาไม่รู้จักคุณ เป็นการยากที่จะไปขายคนแปลกหน้า คนที่รู้จักก็หมดแล้ว
   คุณต้องแก้ปัญหานี้

    2. เขาไม่รู้ว่าคุณขายอะไร ขายตรง หรือขายประกัน ฝากหรือออม หรือขายอะไร พูดไม่เข้าใจ ปิดบัง อ้ำๆอึ้งๆ ข้ามไปข้ามมา เกินจริง  หลอกลวง


    3. เขาไม่ต้องการสินค้าที่คุณขาย ไปมากกว่าเงินที่เขาต้องจ่ายแบบไม่คุ้ม ก็ไม่ต้องการ ไม่อยากได้  ไม่สนใจ ฟังพอผ่านหู พอเป็นพิธี ไม่ให้เสียน้ำใจ คุณจะแก้ปัญหาอย่างไร

     4. เขาไม่เชื่อคุณ จะอมพระมาพูด ชักแม่น้ำ หรืออาจเป็นเพราะเหตุใดก็แล้วแต่ ดังข้อความที่ว่า

          บุคคลใดถูกจูงใจให้เชื่อ ในสิ่งที่เขาไม่เชื่อ สุดท้ายเขาก็ไม่เชื่อมันอยู่ดี
       คุณจะแก้ปัญหาอย่างไร ผมยกตัวอย่างให้ฟังว่า นักขายที่ออกไปขาย มีแต่เปิดใจชมสิ่งดีๆ
   
  เป็นหลัก แต่มีนักขายน้อยมากที่ถามลูกค้าว่า เคยมีปัญหาเกี่ยวกับสินค้าตัวนี้ไหม หรือ มีข้อกังวลใจอะไรบ้าง ก่อนที่จะนำเข้าสู่การขาย นี่คือหลักที่ง่ายที่สุด ป้องกันการโต้แย้งภายหลัง เหมือนกับจะดีทุกขั้นตอนแต่สุดท้าย ลูกค้าพูดปัญหาออกมาแบบแก้ไม่ตก เลยตกม้าตายตอนจบ แบบจะตายออกจากอาชีพด้วยต่างหาก อย่าลืมว่าคำพูดของลูกค้าศักดิ์สิทธิ์มาก


ความล้มเหลวของนักธุรกิจขายประกันและขายตรง

ขยันก็ขยัน ตั้งใจก็ตั้งใจ ทำไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ดีเอง แต่ทำไมมันถดถอยลงไปเรื่อยๆ หรือมีแต่ทรงกับทรุด จะตายอยู่แล้วทำไงดี

1. ขาดความรู้ในการทำตลาดที่ work

ก็การทำตลาดมันนำการขาย คุณทำแต่งานขายลืมทำตลาด ตลาดก็อยู่กลุ่มเดิม ไม่ขยับไปไหน คุณต้องคิดใหม่ ต้องทำตลาด ต้องเรียนรู้ขยายตลาดออกไป ผมไม่รู้จักใครในเวียงจันทน์ผมยังไปเลย สิ่งสำคัญที่สุดคือคุณจะทำการค้ากับคนกลุ่มไหน และจะได้ลูกค้านั้นมาโดยวิธีไหน ความเป็นไปได้กี่มากน้อย รูปแบบควรทำอย่างไร นั่นคือการทำตลาด

2. ขาดที่ปรึกษาที่รู้จริง

           หัวหน้าก็ใหม่ ผู้จัดการก็มาจากยอดขาย พอมาเจอปัญหา ก็แก้ไม่ได้ ประชุมก็บ่อยแต่ไม่เกิดแนวคิด ลากไปตามกระแส ไม่กล้าเปลี่ยนแปลง เคยทำมาอย่างไรก็ทำมันอยู่อย่างนั้น จะถามกูรูผู้รู้จริงก็คนละหน่วยแถมอยู่คนละภาคอีกต่างหาก วิทยากรที่มาให้ความรู้ก็อยู่ไกล โทรไปคุยนานก็ไม่ได้ เพราะไม่มีส่วนได้เสียในธุรกิจ คุณต้องแก้โดยการหาที่ปรึกษาให้เจอ ถ้าไม่เจอต้องหาทางออกโดยฟังวิชาการที่หลากหลายและแตกต่าง ต้องไปเรียนรู้ในคลาสที่ราคาแพง เพื่อเปิดวิสัยทัศน์ใหม่ๆ เช่น ผมเข้าเรียนหลักสูตรบริหารภาษี 2 วัน ราคา 5500 บาท ได้ความรู้มากและตอนนี้ผมได้รับโทรศัพท์มาปรึกษาปัญหาภาษีจากทั่วประเทศแบบปรึกษาฟรี จากการตอบปัญหาบนกูรูกูเกิลและในนั้นก็มีลูกค้ารายใหญ่แทรกอยู่ด้วย เป็นต้น กลยุทธใหม่ๆ ต้องเปิดใจรับรู้ และนำมันมาใช้ ไม่ใช่แต่ Motivate ว่าคุณทำได้ คุณทำได้ แต่พออกจากห้อง ข้ามธรณีประตูก็เหมือนเดิม

3. ขาดทักษะและประสบการณ์ของการเป็นเจ้าของธุรกิจ

ย้ำอีกครั้งว่าคุณลืมไป คุณต้องกลับมาคิดใหม่ว่าธุรกิจการขายที่ทำอยู่ มันเป็นเซเวน มันคือปั๊ม ปตท.คุณจะจัดการยังไง นักขายต้องการยอดขาย แต่นักธุรกิจต้องการผลกำไร นักล่าย่อมใช้กำลัง ส่วนนักสู้นอกจากใช้กำลังแล้วยังใช้สมองด้วยฉันใด ธุรกิจขายประกันหรือขายตรงที่ขยายเครือข่ายได้เยอะๆ และเป็นมรดกไปยังลูกหลานได้ มันก็คือธุรกิจที่เราเป็นเจ้าของมันนั่นเอง ฉันนั้น ฟันธง 

4. ขาดระบบรองรับที่ work

นี่เป็นเรื่องใหญ่มาก ส่วนใหญ่จะงง นี่คือส่วนน้องใหม่ที่มองเข้ามาแล้วไม่กล้าเข้ามาร่วมธุรกิจ เพราะเขาไม่มั่นใจว่าเขาจะอยู่รอด หรือมีอนาคตนั่นเอง ระบบง่ายๆที่ ผมพาน้องใหม่ทำก่อนออกโค้ดคือ พาทำกลยุทธ หรือการทำตลาด หาว่าที่ลูกค้าหรือหาคนที่อยากซื้อประกันมากองรวมกันไว้อย่างน้อย 100 ใบ ไม่ใช่ผู้มุ่งหวังแต่เป็นรายชื่อคนอยากซื้อประกัน ระหว่างนี้ถ้าลูกค้าทนไม่ได้ต้องการซื้อก็ขายเข้าโค้ดหัวหน้า โดยไม่โอนลูกค้าให้แต่อย่างใด แต่ค่าคอม หลังจากหักภาษีแล้วก็เอาไป กลายเป็นรายได้ก่อนเป็นตัวแทน เมื่อเป็นตัวแทนแล้ว ก็เอารายชื่อ 100 รายนั้นไปขาย เมื่อรายชื่อพร่องลงก็ไปทำตลาดเพิ่มมาใหม่ ทำตลาดต้องควบคู่ไปกับงานขาย อย่างนี้ตลาดทั้งปีทั้งชาติก็ขายไม่หมด แถมยังช่วงนี้พาทำออนไลน์ลูกค้าทางอินเตอร์เน็ทเริ่มไหลเข้า เลือกเอาได้อีกต่างหาก อย่างนี้น้องใหม่ที่เข้ามามองเห็นอนาคต ย่อมตัดสินใจเลือกทางเดินได้ นี่เป็นเพียงระบบแรกที่ผมวางไว้ และระบบAttraction Marketing หรือการทำตลาดแบบดึงดูดผู้คน คือส่วนสำคัญสำหรับวิสัยทัศน์การทำธุรกิจ

                        ก่อนเข้าสู่กลยุทธ

                  ความจริงที่คุณต้องรู้

  1. มนุษย์กลัวการขาย และ ไม่ชอบถูกขาย แต่ชอบซื้อ แพงแค่ไหนก็ซื้อถ้าพอใจ
  2. มนุษย์จะตัดสินใจซื้อด้วยอารมณ์ โดยใช้เหตุผลมาสนับสนุน
 กระตุ้นทางลบได้ผลสุดๆ
 3. ในการนำเสนอ ต้องใช้หลัก wiifm ฉันจะได้อะไร

 4. สมมุติว่า มีลูกค้าเข้าแถวเรียงกันเพื่อรอซื้อประกันกับเรา จะเป็นไปได้ไหม ขายให้ผมหน่อยครับ ขายให้ฉันหน่อยค่ะ




กลยุทธ์ การขายประกันชีวิตหรือขายตรงแบบมนุษย์แม่เหล็ก


                     กลยุทธ์ที่ 1

            การตั้งศูนย์ประสานงาน (CENTER)



วัตถุประสงค์ เพื่อให้คนอื่นช่วยขาย ก็เราขายเองได้แค่แรงเดียว ถ้ามีคนช่วยขายแล้วเข้า Code เรา จะดีแค่ไหน กลยุทธ์นี้ทำง่ายที่สุด ได้ประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด หรือศูนย์อิทธิพล หรือศูนย์ประสานงานตัวแทน นั่นเอง





อ.ประไพ สาคร อาชีพครู เข้าสู่อาชีพ AIA เมื่อ ปีก่อน ปัจจุบันยังรับราชการครู เป็น off the year จำนวนราย ของ AIA 5ปีซ้อน เป็นตัวแทนดีเด่นประเทศไทย ปีซ้อน ซึ่งทั้งประเทศมีอยู่ 10คน อยู่ AIA 6 คน ซึ่งอยู่สำนักงานเดียวกับผม ผมเคยสัมภาษณ์บนเวทีหลายครั้ง ทุกเดือนจะมี จำนวนรายลูกค้า อยู่ที่ 30 รายขั้นต่ำต่อเดือน ความลับคือ มี 20 center นั่นเอง และในเดือนสิงหาคม 55ได้เพิ่ม เป็น 30 center โปรดดู vdo ด้านล่างนี้ ถึงกับป่วยเสียงแหบ เนื่องจาก แค่ไปเพิ่มเติมข้อมูลและเซ็นชื่อเก็บเอกสาร ทั้งเดือนมีจำนวนรายนำส่งถึง 153 ราย เบี้ยประกันนำส่ง 340,000 บาท

และนี่คือความลับของอีกความสำเร็จ ที่ทำรายได้มากกว่า 5,000,000บาท ต่อปี โดยใช้กลยุทธเดียว
และนี่คืออีกหนึ่งความสำเร็จ อ.เบญจพร หมอกชัย หน่วยธนอนันต์ 204 ซึ่งเป็นหน่วย under ผมเองเพิ่งฟื้นจากฉายแสง 36 แสง ปีนี้ทำกลยุทธ์เดียว รายได้ เกือบ 4,000,000 แล้วโดยที่ยังไม่ครบปี 



ส่วนผมก็ไม่น้อยหน้า แต่งตั้ง center ไว้ที่ สปป.ลาว กับเขามั่งและนี่คือ ผลงานเดือน พค55
ผมจ่ายค่าศูนย์ไปทั้งหมด 95,000 บาท ตามด้วยภาษี 60,000 บาท

ส่วนขั้นตอน บทชวน หรือ เอกสารสัญญาต่างๆ ท่านจะได้รับการเทรน และพาไปจัดตั้ง หลังจากที่ท่านเข้ามาเป็นตัวแทนในหน่วยแล้ว และเป็นบทบังคับของหน่วยที่ทีมงานทุกคนต้องมี center ที่ work ขั้นต่ำ 10 center ขึ้นไป
เมื่อรู้อย่างนี้ท่านจะทนไหวหรือครับ
ก็ในเมื่อรายได้มันเห็นเลาๆ แล้ว ลองไปถาม หัวหน้า หรือ upline ของท่าน ว่า พาไปตั้งหน่อย ถ้าเขาบอกว่าไม่รู้หรือทำไม่เป็น คุณก็ไปทำเองก็ได้วะ
ทำธุรกิจประกันชีวิตหรือขายตรง มีแต่ downline หรือทีมงาน แต่ไม่มี centerชีวิตคุณก็ขาดพลังลมปราณกำลังภายในที่จะพุ่งชน ใช้แต่กำลังตัวเองก็เหนื่อยหละครับพี่น้อง
วันนี้ น่าจะพอแค่นี้ก่อน นะครับ สิ่งที่เล่ามา มีเคล็ดอยู่หลายที่ แต่ความสำเร็จต้องลงมือทำ ซึ่งคุณสามารถทำได้ทันที
เปิดโอกาสให้โทรมาถามได้ (เฉพาะเรื่องประกันนะครับ )
ในบทที่ 5 นี้คุณได้เรียนรู้ ความล้มเหลวของธุรกิจ 4 อย่าง ที่เป็นแก่นหลักเลย คุณต้องทำความเข้าใจและต้องมีมันทั้ง 4 ข้อ และเปิดกลยุทธ์แรกCENTER นั่นเอง ท่องไว้ center center center ต่อไปยิ่งเข้มข้น เพราะคุณจะได้เรียนรู้ กลยุทธ์ที่ 2 ติดตามใกล้ชิดนะครับ เพราะนี่คือคัมภีร์ฉบับย่อ ฉบับทำเงิน ที่คุณไม่สามารถหาจากที่ไหนได้อีก ถ้าชอบ กรุณากด like ที่ตัว และ G+ ช่องข้างล่าง เพื่อบอกต่อกับคนอื่นๆ อย่างน้อยก็เป็นการให้ แบบง่ายที่สุดครับ แล้วพบกันครับ